สเปรย์พริกไทย ถือเป็นประเด็นที่มีการกล่าวถึงกันมาก ในโลกของอุปกรณ์ต่อสู้ป้องกันตัว
โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องกฏหมาย
ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทย สเปรย์พริกไทยถือเป็นอุปกรณ์ต้องห้าม เป็นสิ่งผิดกฏหมาย ห้ามผลิต นำเข้า หรือมีไว้ในครอบครอง กำหนดบทลงโทษสูงสุดถึงจำคุก10ปี ปรับ1ล้านบาท ซึ่งสร้างความเห็นแตกต่างหลากหลาย และเสียงบ่น ในข้อกฏหมายที่ต้องการเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยน
โดยเฉพาะผู้ที่มีความต้องการพกพา อุปกรณ์ป้องกันตัว ต่างตั้งข้อสงสัย ว่าเป็นสิ่งผิดตรงไหน ในขณะที่ความปลอดภัยในสังคม ยังไม่เป็นที่รู้สึกเชื่อมั่น โดยเฉพาะข้อมูลจาก พ.ต.ท.โชติวิเชียร วิเชียรโชติ ผู้อำนวยศูนย์เตือนภัยผู้หญิง ซึ่งได้ยอมรับตัวเลขว่า แต่ละปีมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของคนร้าย ทั้งเรื่องทรัพย์สิน และคุกคามทางเพศไม่น้อยกว่า 2-3 หมื่นราย
และในขณะที่โจรร้าย ต่างใช้อาวุธ เหตุใด ประชาชนคนดีๆ จึงไม่มีสิทธิที่จะมีอุปกรณ์ป้องกันตัว?
อย่างไรก็ตามคำชี้แจง ทางกฏหมาย ได้กล่าวถึงท่วงทำนองของเจตนาที่ไม่ต้องการให้ สเปรย์พริกไทย ถูกใช้โดยคนร้ายเช่นกัน
เพราะเมื่อกลายเป็นสิ่งถูกกฏหมาย ก็แปลว่าไม่ว่าใครก็สามารถพกพาได้แม้แต่คนร้ายที่คิดพกไว้ใช้ก่ออาชญากรรม
รวมไปถึงความห่วงใยถึงเหตการณ์ในกรณีที่คนร้ายแย่ง สเปรย์พริกไทย ไปจากมือได้ หรือการมองว่าการใช้อาวุธกับคนร้ายยิ่งเป็นการกระตุ้นให้คนร้ายลงมือรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะคนร้ายที่พกอาวุธที่ร้ายแรงกว่า เช่นมีดหรือปืน
และในที่สุดคำถามที่หลายคนสงสัยกันก็คือ
ตกลงว่า มีผู้คนพกสเปรย์พริกไทย กันอยู่หรือไม่?
สถานการณ์ ในปัจจุบัน สเปรย์พริกไทย เชื่อว่ายังมีการพกกันอยู่แพร่หลาย
มีผู้คนที่ยอมเสี่ยง ผิดกฏหมายข้อนี้ โดยมีแนวความเชื่อว่าหาก ถูกตำรวจจับ ก็อาจจะมีแนวทางผ่อนปรนได้ ได้รับความเมตตา ได้รับดุลยพินิจ แม้ว่าอาจจะยังมีโอกาสโชคร้ายเจอเข้ากับเจ้าหน้าที่ ที่เด็ดขาด หรือซวยอย่างที่สุดคือไปเจอเจ้าหน้าที่นอกแถวที่หาช่องรีดไถ
รวมถึงความเชื่อกันว่า ถูกตำรวจจับยังดีกว่าถึงเวลาแล้วไม่มีให้ใช้ และเป็นอันตรายต่อชีวิต ต่อคนที่รัก
นอกจากนี้สำหรับ ผู้ใช้อีกจำนวนมากที่เป็นสุภาพสตรี ที่เชื่อว่า หากไม่เดินทางไปยังที่มีการเข้มงวดในการตรวจค้น อย่างเช่นสนามบิน หรือสถานที่ราชการสำคัญ รวมถึงไม่นำเข้าไปในผับบาร์ ที่อาจถูกสุ่มตรวจ
ก็ไม่น่าที่ จู่ๆตำรวจจะมาไล่สุ่มตรวจกระเป๋า สุภาพสตรี ในพื้นที่ทั่วไป
กลับกัน ดูเหมือนกฏหมายข้อนี้จะคุ้มครอง ในการคอยตรวจค้นชายฉกรรจ์ท่าทางมีพิรุธ และเอาโทษหนักหากพบ เสปรย์พริกไทยอยู่ในตัวคนร้าย ให้อีกด้วย
อีกทั้ง ยังมีคนอีกมาก ที่กังวลถึงอัตตราโทษสูง และเลี่ยงไปใช้ เสปร์ย์ที่ไม่ใช่ เสปรย์พริกไทย อย่างเช่น เสปรย์ดับกลิ่นกาย เสปรย์น้ำหอม
อย่างไรก็ตาม ทางเลี่ยงทั้งหมด ทางผู้เขียนขอให้ ผู้อ่านใช้วิจารณญาณ กันให้ดี เพราะหนทางแต่ละทาง นั้นต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ และสอดคล้องกับรูปแบบของเหตการณ์ สอดคล้องกับสภาพของแต่ละบุคคล สภาพการตัดสินใจ สภาพร่างกาย สภาพความชำนาญ และอีกหลายเรื่อง อีกทั้ง แต่ละทางเลี่ยงนั้น อาจกลายเป็นดาบสองคม ซึ่งตามมาด้วยผลร้ายข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นการ ผสมจัดทำกันขึ้นเอง ที่เลยเถิดไปจนถึงเป็นสารเคมีร้ายแรง สร้างความบาดเจ็บพิการ รุนแรง เกินความเหมาะสม หรือแม้แต่อาจฟุ้งกระจายย้อนมาโดนตัวเราเองหรือคนรอบข้าง อีกทั้งการหลบเลี่ยงแอบพกเสปรย์พริกไทยนั้น อาจนำมาซึ่งการลงโทษที่รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง
ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ ไม่อาจสนับสนุนการทำผิดกฏหมาย แต่ทั้งหมดทั้งมวล ของเรื่องราวนี้ มันมีองค์ประกอบหลายด้าน ให้ท่านได้ขบคิดและพิจารณากันเอง ว่าจะเลือกปฏิบัติตัวเช่นไร